Bangkok Airways สรุปให้
- การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ คือการเดินทางเพื่อฟื้นฟูร่างกาย จิตใจ และอารมณ์แบบองค์รวม ผ่านกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น สปา แช่น้ำแร่ เดินป่า โยคะ รวมถึงการสัมผัสวิถีชีวิตชนบทแบบเรียบง่าย และทานอาหารท้องถิ่นที่ดีต่อสุขภาพ
- ประเทศไทยเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพท่ามกลางธรรมชาติฟีลดี ทั้งน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน สำหรับแช่น้ำแร่ผ่อนคลายกลางป่าเขา ดอยแม่สลองที่เหมาะกับการฟื้นใจผ่านกิจกรรมอาบป่าหรือชิมชาอู่หลง และ หัวหิน เมืองริมทะเลที่โดดเด่นด้านสถาบันเวลเนสและกิจกรรมผ่อนคลายริมชายหาด ช่วยเติมพลังและชาร์จสุขภาพให้ร่างกาย
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและหัวใจ พาเราไปสัมผัสความผ่อนคลายผ่านบรรยากาศธรรมชาติ พร้อมดูแลตัวเองแบบองค์รวมทั้งกายและใจ Bangkok Airways ชวนเปิดลิสต์ธรรมชาติฟีลดีกับ 10 จุดหมายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพยอดฮิต เพื่อให้เรากลับไปใช้ชีวิตได้เต็มที่อีกครั้งในแบบที่ต้องการ
เปิด 10 จุดหมายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วไทยเติมคุณภาพให้ชีวิต
1. บ้านไร่กองขิง จังหวัดเชียงใหม่

บ้านไร่กองขิง หมู่บ้านเล็ก ๆ ในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ที่โดดเด่นด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการอนุรักษ์วิถีชุมชนล้านนา นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความเรียบง่ายแบบเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านการเดินชมหมู่บ้าน พูดคุยกับชาวบ้าน และใช้ชีวิตกลางธรรมชาติ พร้อมลิ้มรสอาหารพื้นเมืองจากวัตถุดิบสดใหม่ที่เราได้เก็บเองกับมือ พร้อมมีกิจกรรมเชิงสุขภาพให้เลือกทำหลากหลาย
- เก็บผักสดปลอดสาร: เก็บผักปลอดสารสำหรับทำอาหารเย็น โดยเฉพาะวัตถุดิบหมุนเวียนตามฤดูกาล เช่น เห็ดเผาะ ผักริมรั้วหลากชนิด
- ปั่นจักรยานชมอุโมงค์ต้นไม้: ปั่นผ่านเส้นทางธรรมชาติของสวนพฤกษศาสตร์แม่เหียะ ชมพรรณไม้หลากชนิดตลอดทางผ่านอุโมงค์ต้นไม้ร่มรื่น สวยงามที่สุดเส้นหนึ่งของเชียงใหม่
- ย่ำขางคลายเมื่อย: ผ่อนคลายด้วยการย่ำขาง โดยครูหมอสงวน บัวออน เป็นภูมิปัญญาล้านนาในการบำบัดอาการปวดเมื่อย มีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 บาทต่อคน

- สปาจากสมุนไพรที่สุขสยาม: มีบริการครบทั้งนวดแผนไทย นวดประคบ อบสปา แช่เท้า และผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่คนในชุมชนนำมาพัฒนา เช่น ลูกประคบ สบู่สมุนไพร น้ำมันไพลขมิ้น ยาดมสมุนไพร และสเปรย์ตะไคร้หอมไล่ยุง
- ไหว้พระที่วัดต้นเกว๋น: ชมศาลาจตุรมุขล้านนา หนึ่งเดียวในภาคเหนือ ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญของล้านนา และเป็นโลเคชันละครดังหลายเรื่อง เช่น รอยไหม รากนครา และกลิ่นกาสะลอง
2. ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย

ดอยแม่สลอง หนึ่งในพื้นที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ รายล้อมด้วยเทือกเขา บรรยากาศสงบ เอื้อต่อกิจกรรมบำบัดตามธรรมชาติ นอกจากเสน่ห์ของบรรยากาศอันงดงามแล้ว ดอยแม่สลองยังเป็นแหล่งปลูกชาชั้นดีของไทย นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมไร่ชาไล่ระดับตามแนวภูเขา ลองชิมชาอู่หลงหอมละมุนจากแหล่งผลิต ไปจนถึงเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชาคุณภาพกลับบ้าน

3. ปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ปาย อำเภอเล็ก ๆ กลางหุบเขาแม่ฮ่องสอน ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของความเรียบง่ายและชุมชนพหุวัฒนธรรมอันอบอุ่น หนึ่งในไฮไลต์คือ “สะพานบุญโขกู้โส่” สะพานไม้ไผ่ทอดยาวกว่า 815 เมตร ผ่านทุ่งนากว้างเชื่อมหมู่บ้านแพมบกกับสำนักสงฆ์ห้วยคายคีรีมฤคทายวัน
นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมทิวทัศน์ สูดรับอากาศบริสุทธิ์ ไปพร้อมกับเรียนรู้วิถีชาวบ้าน ผ่านกิจกรรมท้องถิ่น อย่างการหีบอ้อยทำน้ำตาล การตำข้าว และยังได้ลองชิมน้ำพริกถั่วเน่า ของดีประจำถิ่นที่อร่อยเข้มข้นคลุกข้าวสวยร้อน ๆ ก็ฟิน หรือจะทานคู่ผักสดก็ยิ่งเพลินใจ

อีกหนึ่งประสบการณ์สำหรับเที่ยวเชิงสุขภาพคือ “โป่งน้ำร้อนท่าปาย” แหล่งอาบน้ำแร่ธรรมชาติกลางอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ท่ามกลางป่าเขา และไอหมอกเย็นสบาย ที่นี่มีบ่อน้ำแร่ทั้งแบบลงแช่ตัวได้ราว 10-15 นาที และแบบบ่อร้อนเฉพาะสำหรับแช่เท้า รวมถึงจุดต้มไข่จากบ่อน้ำแร่ที่อุณหภูมิสูงกว่า 80 องศาเซลเซียสให้ได้ลองต้มไข่แบบเพลิน ๆ นอกจากนี้ยังสามารถกางเต็นท์พักแรม ท่ามกลางธรรมชาติที่ผ่อนคลาย เหมาะกับการพักใจและเติมพลังจากธรรมชาติ
สำหรับใครที่ปักหมุดไปรีชาร์จพลังกายและใจที่ปาย สามารถเก็บพิกัดเพิ่มเติมได้ที่ แจกพิกัดที่เที่ยวปาย สัมผัสบรรยากาศโรแมนติกแห่งธรรมชาติ
4. น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน – ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง จังหวัดลำปาง

นอกจากเสน่ห์ของเมืองแห่งรถม้า ลำปางยังขึ้นชื่อด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทั้งภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย วิถีช้าง และวิถีสมุนไพร โดยหนึ่งในจุดหมายสำคัญคือ “น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน” ในอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จุดเด่นคือ มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ 9 บ่อ แบ่งออกได้เป็น 2 โซนหลัก
- โซนแช่ไข่: สามารถนำไข่ลงไปแช่ 15-17 นาที เป็นกิจกรรมยอดนิยม เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากลองประสบการณ์ต้มไข่แบบท้องถิ่น
- โซนแช่ตัว: มีทั้งบ่อแช่น้ำแร่สาธารณะ และห้องอาบน้ำแร่ส่วนตัว ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดความเมื่อยล้า และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
สำหรับช่วงเวลาที่สวยที่สุด แนะนำให้มาในช่วง 06.00-08.00 น. เพราะจะได้เห็นไอน้ำพุร้อนลอยตัวขึ้นท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนของยามเช้า เกิดเป็นบรรยากาศอุ่นละมุนที่เหมาะแก่การถ่ายรูปและเตรียมพลังก่อนออกเดินทางไปจุดเช็กอินใหม่

จากน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน เดินทางต่อไปประมาณ 30 นาที จะเจอ “ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง” หมู่บ้านอายุราว 200 ปีท่ามกลางป่าเมี่ยงที่ยังคงสืบทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ ทั้งการเก็บใบชาป่ามาทำเมี่ยง การทำชาแฮนด์คราฟต์ และการปรุงอาหารพื้นบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถเดินเส้นทางศึกษาป่าเมี่ยง ชิมเมี่ยงสด หรือทำชาป่าออร์แกนิกแบบดีต่อสุขภาพ
5. บ่อสวก จังหวัดน่าน

บ่อสวก จังหวัดน่าน ชุมชนที่โดดเด่นด้านโบราณคดีเตาเผา เครื่องปั้นโบราณ และศิลปะพื้นบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้วิถีชุมชนผ่านงานหัตถกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ได้หลากหลาย เช่น การทำเครื่องปั้นดินเผา ลายอินทรธนูและลายนกฮูกอันเป็นลายเฉพาะถิ่น รวมถึงงานจักสานไม้ไผ่ และผ้าทอลายปากไหผสมลายน้ำไหลเมืองน่าน ซึ่งสะท้อนภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วรุ่น
ในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บ่อสวกยังมีกิจกรรมที่เชื่อมโยงนักท่องเที่ยวเข้ากับธรรมชาติและวิถีชาวบ้าน เช่น การทำนา การทำอาหารพื้นบ้านจากวัตถุดิบท้องถิ่น การเดินชมป่าและแหล่งน้ำที่ชุมชนช่วยกันดูแล อีกทั้งชุมชนยังมีพลังร่วมของคนท้องถิ่นและเยาวชนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จนได้รับรางวัล Best Tourism Villages 2021 จาก UNWTO ที่การันตีเสน่ห์ของชุมชนแห่งนี้
6. หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

สำหรับใครที่ตั้งใจออกเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นหนึ่งในชื่อที่ควรอยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ เพราะเป็นเมืองแห่งสุขภาวะที่ได้รับการผลักดันสู่ศูนย์กลาง Wellness ระดับโลก ครบทั้งสปา ไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพ และศูนย์ฟื้นฟูมาตรฐานสากล
- The Barai สปาชั้นนำพร้อมห้องทรีตเมนต์กว่า 18 ห้อง ที่ผสมผสานภูมิปัญญาไทยโบราณกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
- Chiva-Som รีสอร์ตสปาระดับโลกที่ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากว่า 30 ปี มีโปรแกรมรีทรีตให้เลือกกว่า 16 โปรแกรมทั้งดีท็อกซ์ คุมน้ำหนัก และฟื้นฟูร่างกายเฉพาะบุคคล
- Chevala Wellness Center Hua Hin สถาบันฟื้นฟูสุขภาพและการแพทย์ที่ผสานเวชศาสตร์สมัยใหม่กับที่พักหรูระดับ 6 ดาว
- VLCC Wellness Center ที่โดดเด่นด้านการดีท็อกซ์ การดริปวิตามิน และโปรแกรมดูแลสุขภาพเชิงเมดิคอลและเวลเนสหลากหลายรูปแบบ
นอกจากนี้ยังสามารถเติมความสงบด้วยการทำสมาธิริมทะเลที่ “สวนหลวงราชินี 19 ไร่” สวนสาธารณะติดทะเลแห่งเดียวของหัวหินหรือขี่ม้าริมทะเล ที่ให้ทั้งความผ่อนคลายและความเพลิดเพลินไปพร้อมกับวิวชายฝั่งที่ทอดยาว
7. หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต

หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ชายหาดชื่อดังระดับโลกที่มีหาดทรายขาวทอดยาวเป็นรูปตัว U กว่า 9 กิโลเมตร น้ำทะเลใส ท่ามกลางบรรยากาศเต็มไปด้วยสีสันและความคึกคักตลอดวัน นักท่องเที่ยวสามารถเลือกทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพได้หลากหลาย ทั้งว่ายน้ำ พายซับบอร์ด บานานาโบต เจ็ตสกี เดินชิลรับลมทะเล รวมถึงผ่อนคลายด้วยการนั่งสมาธิยามเย็นท่ามกลางเสียงคลื่น พร้อมชมพระอาทิตย์ตกในมุมที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของภูเก็ต ได้เก็บครบทั้งความสนุก ผ่อนคลาย และพลังจากกิจกรรมทางน้ำที่ช่วยปลุกอะดรีนาลีนตลอดวัน
นอกจากไฮไลต์สไตล์เที่ยวเชิงสุขภาพแล้ว สำหรับใครที่อยากเก็บพิกัดบนหาดป่าตองให้เที่ยวครบทุกสไตล์ สามารถจดลิสต์เพิ่มเติมได้ที่ พิกัดที่เที่ยวหาดป่าตองภูเก็ต ครบจบในที่เดียว
8. น้ำตกร้อนคลองท่อม – สปาโคลนร้อนรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย จังหวัดกระบี่

สายสปาอย่าลืมแวะที่กระบี่ ไฮไลต์แรกคือ “น้ำตกร้อนคลองท่อม” หรือ “น้ำตกร้อนสะพานยูง” น้ำตกขนาดเล็กสูงประมาณ 5 เมตร ตั้งอยู่ท่ามกลางผืนป่าของอำเภอคลองท่อม เดินเท้าเพียง 400 เมตรจากลานจอดรถ มีธารน้ำอุ่นอุณหภูมิ 40-50 องศาเซลเซียส ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ เกิดเป็นแอ่งน้ำธรรมชาติคล้ายบ่ออาบน้ำแร่เล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและบำบัดอาการปวดหลังได้อย่างดี เหมาะกับการแช่ตัวท่ามกลางธรรมชาติ
อีกหนึ่งประสบการณ์เที่ยวเชิงสุขภาพที่พลาดไม่ได้คือ “สปาโคลนร้อนรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย” สปาโคลนร้อนแห่งเดียวในประเทศไทย ตั้งอยู่บนรอยต่อพังงาและกระบี่ ซึ่งที่นี่ได้เกิด 3 ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
- หาดทรายร้อน โดยอุณหภูมิสูงถึง 60 องศาเซลเซียส
- น้ำเค็มร้อน เกิดจากน้ำทะเลผสมกับน้ำพุร้อนใต้ดิน โดยอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส
- โคลนร้อน โดยอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส ที่สามารถแช่ได้ราว 10 นาที
เชื่อว่าช่วยบำบัดอาการเหน็บชา ปวดเมื่อย ลดการอักเสบ และช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยพื้นที่นี้จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเพียงเดือนละประมาณ 10 วัน และจำเป็นต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น
9. บ่อน้ำพุร้อนรักษะวาริน – บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง จังหวัดระนอง

เมืองระนอง แหล่งมหานครน้ำแร่ของไทย ขึ้นชื่อเรื่องบ่อน้ำแร่ธรรมชาติคุณภาพดีที่ช่วยผ่อนคลายทั้งกายและใจ โดยมีจุดยอดนิยมอยู่ที่ “บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน” ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะรักษะวาริน เป็นบ่อน้ำแร่ธรรมชาติ 3 บ่อคือ บ่อพ่อ บ่อแม่ และบ่อลูกสาว อุณหภูมิเฉลี่ยราว 65 องศาเซลเซียส และไม่มีสารกำมะถัน ทำให้ไม่มีกลิ่นฉุน

สำหรับใครที่ชอบบรรยากาศธรรมชาติมากขึ้น ต้องมาที่ “บ่อน้ำร้อนพรรั้ง” ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว เป็นน้ำแร่ใสสะอาดที่ไม่มีกลิ่นกำมะถันและมีตาน้ำร้อนผุดขึ้นกว่า 13 จุด โดยอุณหภูมิราว 35-40 องศาเซลเซียส ไหลรวมกันเป็นแอ่งน้ำแร่ธรรมชาติกลางป่า บรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับการแช่ผ่อนคลาย หลังแช่เท้าหรือแช่ตัวแล้ว ยังมีสปาปลา และสระน้ำใสให้ถ่ายรูปสวย ๆ มีค่าบริการเพียง 20 บาทสำหรับคนไทยเท่านั้น
10. เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

สำหรับคนที่อยากเติมวิตามินทะเลให้เต็มปอด ต้องไปที่เกาะสมุย ที่รายล้อมด้วยชายหาดสวย น้ำทะเลสีฟ้าใส และบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะทั้งการเดินเล่นรับลมยามเช้าบนหาดเฉวงหรือหาดละไม ชิมอาหารทะเลสด ๆ รวมถึงทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพอย่างโยคะริมทะเลและสปา
โดยเฉพาะที่ “Kamalaya” พรีเมียมรีสอร์ต ซึ่งมี Wellness Sanctuary และ Holistic Spa ที่รวมโปรแกรมออกกำลังกายและฮีลใจให้เข้าร่วมกว่า 60 คลาสต่อสัปดาห์ อาทิ โยคะ นั่งสมาธิ ออกกำลังกายแบบ Aqua Aerobics และอาบเสียงกับ Sound Healing
ชมเส้นทางทริปเชิงสุขภาพบนเกาะสมุยเพิ่มเติมได้ที่ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สมุย กับกิจกรรมผ่อนคลายและบำบัดร่างกายสุดฮิต
รวมคำถาม-คำตอบเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
แนวคิดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) คืออะไร?
เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพทั้งกาย ใจ และอารมณ์แบบองค์รวม ผ่านกิจกรรมที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายและสร้างความผ่อนคลายอย่างยั่งยืน เหมาะกับคนทำงานหนัก คนเมืองที่ต้องการพักใจจากความวุ่นวาย ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นดูแลสุขภาพ หรือผู้ที่ต้องการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ไปสู่แนวทางที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
เมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอะไรบ้าง?
เมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากมาย ทั้งน้ำพุร้อนธรรมชาติอย่าง น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน และน้ำตกร้อนคลองท่อม ส่วนสไตล์ชุมชนเวลเนส เช่น ดอยแม่สลอง และบ้านไร่กองขิง รวมถึงทะเลสายสปาอย่าง หัวหิน เกาะสมุย และหาดป่าตอง ที่ตอบโจทย์การพักกายและพักใจได้ครบในที่เดียว
Wellness Tourism ต่างจาก Medical Tourism อย่างไร?
Wellness Tourism เน้นการท่องเที่ยวเพื่อเสริมสุขภาพและผ่อนคลาย เช่น สปา โยคะ ดีท็อกซ์ หรือรีทรีตสุขภาพ เหมาะกับคนที่ร่างกายปกติและต้องการดูแลตัวเองเชิงองค์รวม ส่วน Medical Tourism คือการเดินทางเพื่อรักษาโรคหรือทำหัตถการทางการแพทย์ เช่น ผ่าตัด ทำฟัน หรือรักษาเฉพาะทางโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพควบคู่การรักษา
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเหมาะกับใคร?
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเหมาะกับคนทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการพักผ่อน ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ หรือรีบาลานซ์ชีวิต เหมาะทั้งคนทำงานที่อยากปลดล็อกความเหนื่อยล้าหรือความเครียด ผู้สูงวัยที่ต้องการดูแลสุขภาพ
เตรียมตัวก่อนเดินทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างไร?
ควรเริ่มจากเลือกสถานที่และกิจกรรมที่เหมาะกับสภาพร่างกายและจิตใจที่ต้องการดูแล เช่น สปา แช่น้ำแร่ เดินป่า หรือโยคะ ตรวจสอบข้อจำกัดด้านสุขภาพและปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัว เตรียมเสื้อผ้าอุปกรณ์ให้เหมาะกับกิจกรรม รวมถึงพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทางเพื่อให้ร่างกายพร้อมรับประสบการณ์ผ่อนคลายอย่างเต็มที่
สัมผัสความผ่อนคลายผ่านที่เที่ยวธรรมชาติในไทยเพิ่มเติม ได้ที่นี่
- ที่เที่ยวธรรมชาติยอดฮิต ค้นพบเสน่ห์แห่งเมืองไทย
- ที่เที่ยวดอยเชียงใหม่ สูดอากาศดี ๆ รับพลังบวก ให้ใจฟู
- เส้นทางทริปเดินป่าไทยห้ามพลาด ครบทุกระดับความยาก
- ทริปเที่ยวคนเดียว ลุยเดี่ยวทั่วไทย ผู้หญิงก็ไปได้สบาย
บินไปกับ Bangkok Airways สัมผัสธรรมชาติฟีลดี เสริมสุขภาพทั้งกายและใจ

วางความเหนื่อยล้าลงแล้วออกเดินทางสู่ทริปท่องเที่ยวเชิงสุขภาพท่ามกลางธรรมชาติฟีลดี เดินทางสะดวกด้วยเที่ยวบินตรงสู่เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ และสมุย โดยสายการบิน Bangkok Airways ที่พร้อมดูแลทุกท่านด้วยบริการครบวงจร เพื่อให้การเดินทางเป็นช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม
- บริการห้องรับรองสำหรับผู้โดยสารทุกท่าน
- น้ำหนักโหลดกระเป๋าท่านละ 20 กิโลกรัม
- การเลือกที่นั่งบนเที่ยวบิน
- บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเที่ยวบิน